ของเหลวในรถยนต์ เปลี่ยนตอนไหนดี ? วันนี้ CarMate ชวนมาทำความรู้จักระบบของเหลวในรถยนต์ ว่ามีอะไรบ้าง ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ และต้องเช็กอย่างไร เพราะหากเพิกเฉยอาจสร้างความเสียหายกับรถคู่ใจของเราได้มากมายอย่างที่คาดไม่ถึง
อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่มีความสำคัญกับรถยนต์ คงหนีไม่พ้นระบบของเหลวในรถเพื่อขับเคลื่อนระบบต่าง ๆ ที่ประกอบไปด้วย น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น รวมถึงน้ำฉีดกระจก แต่ละอย่างมีระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่าย ซึ่งผู้ใช้รถยนต์ต้องหมั่นดูแลรักษาและคอยเช็กให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้แห้ง หรือเกินกำหนด เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานลดลงและนำไปสู่การเกิดอันตรายในขณะขับขี่ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ของเหลวหรือน้ำมันหล่อลื่นพวกนี้ต้องเปลี่ยนกันตอนไหนให้ถูกต้อง แต่ละอย่างมีความสำคัญต่อรถยนต์อย่างไร มาติดตามกันเลย
1. น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องถือเป็นของเหลวที่เปลี่ยนบ่อยมากที่สุด เพราะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ให้ไหลลื่นไม่ติดปัญหา หากเปลี่ยนครบตามกำหนดเวลายังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วจะเปลี่ยนทุก ๆ 8,000-10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน (แล้วแต่อันไหนถึงก่อน) ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา กึ่งสังเคราะห์ และสังเคราะห์ 100% หากใช้งานบ่อยก็อาจจะต้องเปลี่ยนเร็วขึ้นกว่าเดิม คือ ทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร หรือทุก 3 เดือน นั่นเอง
2. น้ำมันเพาเวอร์
น้ำมันเพาเวอร์ หรือน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ จะช่วยให้เราสามารถหมุนพวงมาลัยได้ง่ายและเบาขึ้นโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ เป็นการช่วยผ่อนแรงให้กับคนขับรถได้เป็นอย่างดี ซึ่งในรถรุ่นใหม่ ๆ อาจไม่ค่อยมีการใช้งานสักเท่าไหร่ ซึ่งควรหมั่นตรวจเช็กและเติมให้อยู่ในระดับปกติเสมอ ไม่ควรเติมมากเกินไป เพราะจะขยายตัวเพิ่มเมื่อได้รับความร้อน ควรเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์ทุก ๆ 80,000 กิโลเมตร (หรือตามระยะที่กำหนดในคู่มือแต่ละรุ่น) และเลือกใช้น้ำมันที่เหมาะสมกับสภาพรถยนต์ของคุณ
3. น้ำมันเบรก
เบรกมีหน้าที่ในการชะลอความเร็วหรือหยุุดรถตามความต้องการของผู้ขับขี่ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อถึงเวลาที่กำหนด โดยปกติแล้วน้ำมันเบรกควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร หรือหากใช้รถน้อยก็เปลี่ยนทุก ๆ 1 ปี ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วน้ำมันเบรกจะมีอายุได้ถึง 80,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 ปี ซึ่งผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบให้น้ำมันเบรกอยู่ที่ระดับปกติเสมอ หากพบว่าน้ำมันเบรกน้อยลงกว่าปกติควรนำรถเข้าศูนย์บริการใกล้บ้านทันที
4. น้ำยาเติมหม้อน้ำ หรือน้ำยาหล่อเย็น
โดยทั่วไปแล้วควรเช็กระดับน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ หากพบว่าระดับน้ำลดลง ไม่ควรที่จะเติมแต่น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว แต่ควรเติมน้ำยาหล่อเย็นลงไปบ้างในบางครั้ง เพราะจะช่วยลดการเกิดสนิม ซึ่งผู้ใช้ควรศึกษาให้ดี เพราะน้ำยาหล่อเย็นจะมีให้ทั้งสูตรผสมน้ำและไม่ผสมน้ำ ซึ่งอัตราการผสมสามารถศึกษาได้จากผลิตภัณฑ์ และควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 6-9 เดือน หรือ 50,000 กิโลเมตร เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด
5. น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย
เกียร์และเฟืองท้ายเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนรถ เพราะต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากเพลาผ่านเพลากลางไปยังเฟืองท้ายและไปยังล้อ เพื่อทำให้ล้อหมุนได้ และจำเป็นต้องมีน้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้าย ที่ช่วนในการลดแรงเสียดทาน ลดการสึกหรอของเกียร์ ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ และช่วยป้องกันสนิมจากการกัดกร่อนของชิ้นส่วนภายในได้อีกด้วย ควรเปลี่ยนทุก ๆ 30,000-40,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นรถที่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ เช่น ขับในกรุงเทพฯ ควรเปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000-20,000 กิโลเมตร หรือประมาณปีละครั้ง ซึ่งถือเป็นระยะเหมาะสมที่สุด
6. น้ำมันคลัตช์
ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันคลัตช์พร้อมกับน้ำมันเบรก เนื่องจากมีระยะการใช้งานที่พอ ๆ กัน อยู่ที่ประมาณ 6-8 เดือน ซึ่งในน้ำมันคลัตช์จะมีส่วนผสมของน้ำเพิ่มขึ้นจากที่ถูกใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในเป็นสนิมได้ จึงควรเปลี่ยนตามคำแนะนำของศูนย์บริการเพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรถเรา
7. น้ำฉีดกระจก
สำหรับคนที่ใช้รถยนต์อยู่ประจำควรหมั่นตรวจเช็กให้น้ำฉีดกระจกอยู่ในปริมาณที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา หรืออย่างน้อยตรวจเช็กสัปดาห์ละครั้ง เพราะในขณะที่อยู่บนท้องถนน อาจจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ต้องใช้น้ำฉีดกระจกชะล้างเพื่อทัศนวิสัยที่ดีและสามารถทำให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ น้ำฉีดกระจกนั้นเราสามารถใช้ได้ทั้งน้ำเปล่าธรรมดา หรือจะผสมน้ำยาล้างรถ น้ำยาทำความสะอาดอื่น ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ
8. น้ำกลั่นแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ คือ ส่วนประกอบในรถยนต์อันดับต้น ๆ ที่ผู้ใช้รถต้องคอยดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ และต้องเข้าใจว่าแบตเตอรี่ นั้นมีอยู่ 4 ประเภท คือ แบตเตอรี่ธรรมดา, แบตเตอรี่กึ่งแห้ง, แบตเตอรี่แห้ง และแบตเตอรี่ไฮบริด ซึ่งตัวแบตเตอรี่ธรรมดา กับ แบตเตอรี่กึ่งแห้ง ยังมีการใช้น้ำกลั่นเป็นส่วนประกอบ ควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นทุกสัปดาห์ เติมให้ท่วมแผ่นธาตุเล็กน้อย แต่หากเป็นแบตเตอรี่ชนิดอื่นไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น โดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งาน 2-3 ปี หากเริ่มพบอาการผิดปกติอย่างเช่น รถเริ่มสตาร์ตติดยาก, ดวงไฟต่าง ๆ ไม่สว่างเท่าเดิม, กระจกไฟฟ้าเลื่อนขึ้น-ลงช้ากว่าปกติ นั่นเป็นการส่งสัญญาณเตือนเราในเบื้องต้นแล้วว่าใกล้ได้เวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่แล้วนั่นเอง
รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมหมั่นเช็กระบบของเหลวในรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองกันบ่อย ๆ นอกจากจะช่วยทำให้รถคันโปรดอยู่กับเราได้นานขึ้นแล้ว การดูแลรักษาเป็นประจำและสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดความเสียหายที่อาจนำไปสู่ค่าซ่อมบำรุงที่สูงลิบเลยก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก valvoline.co.th, toyota.co.th, kmotors.co.th, realtimecarmagazine.com, grandprix.co.th
: ของเหลวในรถยนต์ เปลี่ยนตอนไหนดี ?